จังหวัดเพชรบูรณ์ได้ชื่อว่าเป็นเมืองมะขามหวาน แต่รู้หรือไม่ว่าพืชที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันก็คือ “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” ซึ่งที่นี่มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มากที่สุดในประเทศไทย คือกว่า 8 แสนไร่ (ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2562/63) และในครั้งนี้จะบุกไปพบ “คุณสีไพร แก้วสุวรรณ” เกษตรกรหัวก้าวหน้าแห่งอำเภอหล่มเก่าที่ช่างคิดช่างวางแผน และทำการเกษตรพื้นที่กว่า 50 ไร่ แบ่งเป็นมะขาม 40 ไร่ และเกษตรแบบผสมผสานอีก 10 ไร่ หมุนเวียนปลูกข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยาสูบและผัก ทำให้มีรายได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ได้ผลผลิตมากถึง 2 ตันต่อไร่ ได้กำไรงามทุกปี ว่าเขามีวิธีการอย่างไร
วางแผนการปลูกให้ดี
ทำให้มีรายได้ตลอดปี
คุณสีไพร เผยว่า การทำเกษตรแบบผสมผสานของตน จะปลูกพืชหลากหลายชนิด แบ่งตามฤดูกาลและความเหมาะสมของสภาพภูมิอากาศ ลองผิดลองถูกมาจนประสบความสำเร็จเช่นในปัจจุบัน
ส่วนเคล็ดลับการสร้างรายได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปีนั้น สิ่งสำคัญคือการจัดการพื้นที่การเกษตร วางแผนการเพาะปลูก เพื่อลดความเสี่ยงจากราคาผลผลิตตกต่ำ หากปลูกแค่ชนิดเดียวแล้วราคาผลผลิตไม่ดี จะทำให้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ดังนั้นจึงหาพืชชนิดอื่นมาปลูกร่วมด้วย
“จากพื้นที่ทำเกษตรหมุนเวียน 10 ไร่ รายได้ส่วนใหญ่ของผมมาจากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยจะปลูกในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน ส่วนข้าวผมจะปลูกไว้กินเอง ถ้าเหลือจึงจะขาย จะปลูกเป็นข้าวนาปี เริ่มปลูกตั้งแต่เดือนกรกฎาคม -พฤศจิกายน และในช่วงธันวาคม – มีนาคม จะปลูกยาสูบกับผัก แต่ถ้าผักขายไม่ได้ราคาหรือปีไหนน้ำแล้ง ก็จะหันมาปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่ม”
การวางแผนการปลูกแบบนี้ คุณสีไพรบอกว่า นอกจากดูความเหมาะสมของฤดูกาลแล้ว ยังต้องพิจารณาความต้องการของตลาดเป็นหลักด้วย เพื่อที่จะให้มีผลผลิตออกมาตรงฤดูกาลที่ขายได้ราคาดี
เคล็ดลับปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้โดนใจตลาด
‘ใส่ปุ๋ย ใส่ใจ ใส่น้ำ’ ช่วยพืชโตไว ได้ฝักเต็ม
คุณภาพของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ตลาดต้องการจะต้องฝักใหญ่สมบูรณ์ เมล็ดเต็มไม่ลีบ และเมล็ดต้องมีค่าความชื้นไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งเคล็ดลับของคุณสีไพรอยู่ที่การเตรียมดิน การให้น้ำ และบำรุงธาตุอาหารที่เหมาะสม ตลอดจนพิถีพิถันในขั้นตอนการเก็บเกี่ยว ซึ่งต้องมั่นใจว่าข้าวโพดแก่จัด โดยสังเกตว่าใบและต้นที่แห้งสนิทจึงจะทำการเก็บเกี่ยว
ในขั้นตอนการเตรียมดิน หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตนาปีในช่วงเดือนพฤศจิกายน หรือยาสูบในเดือนมีนาคมแล้ว คุณสีไพรจะเตรียมดินเพื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยไถดินและตากแปลงให้แห้ง ใช้เวลา 7 วัน เพื่อกำจัดวัชพืชและเชื้อราในดิน จากนั้นจะใช้รถไถพรวน ย่อยดินให้ร่วนซุย เก็บกักความชื้นได้มากขึ้น การบำรุงดินจะทำให้ได้ดินดี ซึ่งจะช่วยทำให้รากพืชแข็งแรง พร้อมดูดซึมธาตุอาหาร ต้นโตเร็ว ใบจะเขียวทน เขียวนาน ถ้าหากไม่มีการเตรียมดินหรือตากดินให้แห้ง เมื่อหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดไปแล้ว ใบของต้นข้าวโพดจะเหลือง และต้นไม่แข็งแรง
สำหรับการหยอดเมล็ดพันธุ์ หรือขั้นตอนการปลูก คุณสีไพรจะใช้รถไถเดินตามเพื่อทำการหยอดเมล็ดข้าวโพด และใส่ปุ๋ยรองพื้นพร้อมกันแล้วไถกลบไป เดินไปตามพื้นที่ที่ได้เตรียมดินไว้ ซึ่งปุ๋ยที่ใช้คือปุ๋ยตรากระต่ายสูตร 16-20-0 ในปริมาณ 30 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อช่วยให้ต้นโตไว สมบูรณ์ตั้งแต่ต้นข้าวโพดยังเล็ก ทั้งยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ส่วนราก
เมื่อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อายุประมาณ 14 วัน คุณสีไพรให้ความสำคัญเรื่องการควบคุมวัชพืช โดยใช้ผลิตภัณฑ์ชุดคลีโอจากบริษัทเจียไต๋ เมื่อไม่มีวัชพืชรบกวนข้าวโพดก็จะให้ฝักใหญ่และเมล็ดเต็มฝัก
ระยะข้าวโพดอายุประมาณ 50 วัน ใช้ปุ๋ยตรากระต่ายสูตร 46-0-0 ปริมาณ 45 กิโลกรัมต่อไร่ และปุ๋ยตรากระต่ายสูตร 15-15-15 ปริมาณ 15 กิโลกรัมต่อไร่ หรืออัตราส่วน 3:1 โดยโรยข้างๆ ต้นแล้วให้น้ำตาม จะช่วยทำให้ติดดอกดี ฝักใหญ่ น้ำหนักดี
นอกจากใส่ปุ๋ยดีมีคุณภาพแล้ว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังต้องการน้ำที่เหมาะสมตลอดฤดูปลูกด้วย และเนื่องจากคุณสีไพรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงฤดูแล้ง การให้น้ำอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ วิธีการคือวางระบบสปริงเกอร์ความยาว 5-6 เมตร ต่อจากแหล่งน้ำบาดาลที่ขุดไว้ วางหัวสปริงเกอร์ตามแนวต้นข้าวโพด เปิดให้น้ำจุดละ 1 ชั่วโมงแต่เช้าถึงเย็นทุกวันจนครบทุกแนว ใช้เวลา 5 วันจนครบทั้งแปลง แล้วก็วนให้น้ำใหม่
“การใส่ใจ ลงดูแปลงทุกวันทำให้เราเห็นปัญหา ถ้าเจอหนอนทำลายใบ ก็ต้องรีบป้องกันและจัดการทันที เพื่อไม่ให้ขยายวงกว้าง” คุณสีไพร กล่าว
เลือกใช้ “ปุ๋ยดี” ได้ผลผลิตชัวร์
มั่นใจพืชชนิดไหนก็ใช้ได้
เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้ปุ๋ยตรากระต่ายสำหรับข้าวและพืชไร่ แต่คุณสีไพรใช้ปุ๋ยกระต่ายสำหรับพืชผักและไม้ผล เพื่อบำรุงพืชอื่นๆที่ปลูกอยู่ เพราะมั่นใจในคุณภาพ
“ผมใช้ปุ๋ยตรากระต่ายมานานแล้ว นอกจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แล้ว ก็ยังใช้ทั้งกับมะขามหวาน ข้าวนาปี ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ที่มั่นใจเพราะใช้แล้วเห็นผลจริง ผมจะทดลองใช้ปุ๋ยต่างๆ ในแปลงทดลองก่อน เปรียบเทียบกันแล้วปุ๋ยตรากระต่ายจะช่วยให้ใบเขียวนานกว่า ต้นแข็งแรง ผลผลิตคุณภาพดี คุ้มค่ากับการลงทุนที่สุด”
คุณสีไพร เผยว่า การปลูกมะขามหวาน จะเริ่มเก็บผลผลิตได้เมื่ออายุได้ 7 ปี และผลผลิตออกเต็มที่เมื่ออายุ 10-13 ปี ขึ้นไป ซึ่งในพื้นที่ 40 ไร่ของเขา แบ่งการดูแลเป็น 3 ระยะ ได้แก่
1. ระยะแตกใบอ่อน จะใส่ปุ๋ยตรากระต่ายสูตร 16-16-16 บลู ปริมาณ 3 กิโลกรัมต่อต้น เพื่อช่วยบำรุงให้ต้นสมบูรณ์ แตกใบ พร้อมแตกช่อดอก
2. ระยะติดดอก จะงดใส่ปุ๋ยทางดิน เพราะหากใส่ปุ๋ยช่วงนี้จะทำให้ฝักแตกและผลร่วง
3. ระยะติดผลเล็ก เป็นช่วงการให้ปุ๋ยทางใบ (ฮอร์โมน) จะช่วยเปิดตาดอก ติดผลดก ขั้วดอกเหนียว และดูแลฝักอ่อนให้แข็งแรง
การวางแผนปลูกพืชหมุนเวียนผสมผสาน ไม่เสี่ยงต่อราคาผลผลิตตกต่ำ ทำให้คุณสีไพร แก้วสุวรรณ เกษตรกร อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ มีรายได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี และยังได้ผลผลิตดีเป็นที่ต้องการของตลาด และการเลือกใช้ปุ๋ยดีมีคุณภาพอย่างปุ๋ยตรากระต่าย ก็ทำให้มีผลผลิตเต็มไร่ได้คุณภาพชัวร์ เด๊ะ เด๊ะ ใครอยากรู้ว่าจริงไหม ต้องลองใช้!
ติดตามข่าวสารอื่นๆ ข้อมูลสินค้า และข่าวสารจากปุ๋ยตรากระต่าย เพิ่มเติมได้ที่
Facebook: www.facebook.com/puitrakratai/
YouTube: www.youtube.com/c/Puitrakratai
ข้อมูลสินค้าปุ๋ยตรากระต่าย : www.chiataigroup.com/business/fertilizer/puitrakratai