ข้าวพันธุ์เบา เป็นพันธุ์ข้าวที่ได้รับความนิยมปลูกในฤดูนาปรัง เพราะอายุการเก็บเกี่ยวสั้น ประมาณ 90-100 วัน และสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ต่างจากข้าวพันธุ์หนักที่มีอายุการเก็บเกี่ยว 120-130 วัน จึงปลูกได้เพียง 2 รอบต่อปีเท่านั้น
พื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่อยู่ในเขตภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง และครอบคลุมบางพื้นที่ในภาคอีสานและภาคใต้ บริเวณพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำจากระบบชลประทาน แม่น้ำ ลำคลอง ทั้งนี้ อาจจะมีการควบคุมพื้นที่เพาะปลูกจากทางหน่วยงานภาครัฐ หากปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตรในพื้นที่นั้นๆ
คุณสมบัติของข้าวพันธุ์เบา
สำหรับสายพันธุ์ของข้าวพันธุ์เบาที่ได้รับการรับรองจากกรมการข้าว มีดังนี้
ข้าวพันธุ์ กข 41 เหมาะสำหรับปลูกในเขตพื้นที่ชลประทาน บริเวณภาคเหนือตอนล่าง ระยะการเก็บเกี่ยวผลผลิต ประมาณ 100 วัน สายพันธุ์นี้มีจุดเด่น คือ ให้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 722 กิโลกรัมต่อไร่ สามารถต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และทนทานต่อสภาพแวดล้อม ข้าวพันธุ์นี้ยังเหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่น้ำท่วมขัง หรือพื้นที่ที่มีปัญหาความแห้งแล้งได้ดี
ข้าวพันธุ์ กข 43 เป็นสายพันธุ์ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น ประมาณ 95 วัน สามารถปลูกได้ทั่วประเทศ บริเวณพื้นที่ชลประทาน และพื้นที่รับน้ำที่มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน โดยสายพันธุ์นี้มีจุดเด่น คือ มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เมื่อเทียบกับข้าวพันธุ์อื่น ๆ นอกจากนี้ ยังต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้ดีอีกด้วย
ข้าวพันธุ์ กข 47 เป็นสายพันธุ์ที่เหมาะสำหรับปลูกในภาคเหนือตอนล่าง บริเวณเขตชลประทาน โดยมีระยะการเก็บเกี่ยวผลผลิต ประมาณ 100 วัน ข้าวพันธุ์นี้จะให้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 793 กิโลกรัมต่อไร่ นอกจากนี้ สามารถต้านทานโรคและแมลงได้ดี อาทิ โรคไหม้ในข้าว และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
ข้าวพันธุ์ กข 61 เป็นสายพันธุ์ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น ประมาณ 90 วัน และสามารถต้านทานโรคไหม้ในข้าว เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และเพลี้ยกระโดดหลังขาวได้ดี ปริมาณผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ ประมาณ 1,004 กิโลกรัม ส่วนใหญ่นิยมปลูกในภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง ทั้งบริเวณพื้นที่ชลประทาน พื้นที่นอกเขตชลประทาน และพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมขัง
ข้าวพันธุ์ กข 49 เป็นสายพันธุ์ที่มีระยะเก็บเกี่ยวประมาณ 100 วัน สามารถปลูกได้ทั่วประเทศ ทั้งบริเวณพื้นที่ชลประทาน พื้นที่น้ำท่วมขัง หรือพื้นที่น้ำน้อย ข้าวพันธุ์นี้ให้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 939 กิโลกรัมต่อไร่ นอกจากนี้ ยังทนต่อสภาพแวดล้อม และต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้ดี
ข้าวพันธุ์ กข 71 เป็นสายพันธุ์ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้นประมาณ 95 วัน โดยส่วนใหญ่นิยมปลูกบริเวณภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง ในเขตชลประทาน ปริมาณผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ ประมาณ 818 กิโลกรัม นอกจากนี้ ยังต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืชได้ดี และทนต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ดีอีกด้วย
ตัวอย่างสายพันธุ์ข้าวพันธุ์เบา
สำหรับการปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตดี มีปริมาณสูง สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ การเลือกพันธุ์ข้าวให้เหมาะกับพื้นที่ การเตรียมดิน และการบำรุงธาตุอาหารให้เหมาะกับระยะเจริญเติบโตของพืช เพื่อให้ต้นข้าวสมบูรณ์ แตกกอดี รวงใหญ่ ได้น้ำหนัก โดยปุ๋ยตรากระต่ายขอแนะนำเทคนิคการบำรุงธาตุอาหารในพื้นที่นาดินเหนียว และนาดินทราย ดังนี้
การบำรุงธาตุอาหารในนาดินเหนียวและนาดินทราย
สำหรับพื้นที่นาดินเหนียว ที่ดินมีความสมบูรณ์ แนะนำขั้นตอนการบำรุงธาตุอาหาร ตั้งแต่ช่วงข้าวอายุ 15-20 วัน (ระยะข้าวแตกกอ) แนะนำใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 46-0-0 ในอัตรา 5-10 กิโลกรัมต่อไร่ ผสมกับปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-20-0 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ ให้ข้าวแตกกอดี ได้กอใหญ่ เมื่อเข้าสู่ระยะข้าวตั้งท้อง (อายุ 25-30 วัน) แนะนำใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-20-0 อัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อให้ต้นข้าวตั้งท้องสมบูรณ์ สร้างรวงอ่อนให้แข็งแรง มีใบเขียวทนเขียวนาน ในระยะข้าวออกดอก-รับรวง (อายุ 40-45 วัน) แนะนำใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 15-15-15 อัตรา 10-15 กิโลกรัมต่อไร่ ช่วยให้ข้าวรวงใหญ่ เมล็ดเต่ง น้ำหนักดี
ติดตามข่าวสารอื่นๆ ข้อมูลสินค้า และข่าวสารจากปุ๋ยตรากระต่าย เพิ่มเติมได้ที่
Facebook: www.facebook.com/puitrakratai/
YouTube: www.youtube.com/c/Puitrakratai
TikTok: https://www.tiktok.com/@puitrakratai
ข้อมูลสินค้าปุ๋ยตรากระต่าย : https://www.chiataigroup.com/business/fertilizer/Puitrakratai-Rice-Fields