ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ นับเป็นพืชทางเลือกที่ตลาดมีความต้องการต่อเนื่อง ปลูกดูแลง่าย ใช้น้ำปริมาณน้อย ทั้งให้ผลตอบแทนสูง และมีตลาดรองรับที่แน่นอน ปัจจัยสำคัญที่สามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้คือ “การเพิ่มประสิทธิภาพการปลูก” คุณจักรพงษ์ แสงแก้ว เกษตรกรรุ่นใหม่ จังหวัดสระแก้ว ได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการปลูกข้าวโพด ทำให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากภาวะโลกรวนได้ดี สามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้นและมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน
ตามไปดูแนวคิดและเคล็ดลับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของ “คุณจักรพงษ์ แสงแก้ว” ว่าเขามีวิธีการอย่างไร ให้ได้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฝักโต เต็มเมล็ด น้ำหนักดี ได้ผลผลิต 1.6-1.7 ตันต่อไร่ และสามารถปลูกข้าวโพดได้ 3 รอบ ต่อปี สร้างเม็ดเงินเข้ากระเป๋าได้ตลอดปี
เกษตรกรยุคใหม่ หัวไว
ใจกล้า รู้จักใช้เทคโนโลยี
คุณจักรพงษ์ แสงแก้ว เป็นเกษตรกรใจสู้ ที่เรียนรู้ผ่านประสบการณ์การทำเกษตรบนวิถีทางของตนเองมานานหลายปี ก่อนหน้านี้เคยปลูกปาล์มน้ำมันมาก่อน พอหมดสัญญาเช่าที่ทำสวนปาล์มน้ำมัน ก็หันมาปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพราะเห็นว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีรายได้ดี ปลูกได้ตลอดปี คุณจักรพงษ์ลงทุนปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ครั้งแรกจำนวน 5 ไร่ หลังจากลองปลูกก็ได้ผลผลิตที่ดีจึงค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาเป็น 10 ไร่ ตอนนี้มีพื้นที่ปลูกทั้งหมด 55 ไร่และทำสวนลำไย 40 ไร่
คุณจักรพงษ์ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ตลอดทั้งปี จากการสังเกตทดลองเรียนรู้ แก้ไขปัญหา และปรับใช้มาอย่างต่อเนื่องจนทำให้ได้ผลผลิตคุณภาพดี ประมาณ 1.6-1.7 ตันต่อไร่ สามารถสร้างรายได้ดีตลอดทั้งปีนั้น เกิดจากปัจจัยสำคัญได้แก่ การจัดการน้ำ นำระบบน้ำหยดมาใช้ทำให้ต้นข้าวโพดได้รับปุ๋ยและน้ำต่อเนื่อง เอื้อต่อการเจริญเติบโตของพืชเป็นอย่างมาก สามารถเพิ่มผลผลิตจากเดิม ถึง 2 เท่าตัว ขณะเดียวกัน มีการจัดการแปลงที่ดีร่วมด้วย ทั้งการดูแลจัดการวัชพืชไม่ให้มาแย่งอาหารต้นข้าวโพด การกำจัดหนอน ที่เป็นแมลงศัตรูพืชอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งใส่ปุ๋ยบำรุงดินทำให้ดินมีธาตุอาหารที่สมบูรณ์ และกล้าใช้ฮอร์โมนบำรุงทางใบเพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพดี ในขณะที่เกษตรกรส่วนใหญ่มองว่าเป็นการเพิ่มต้นทุน
เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพียง 2 รอบต่อปี แต่คุณจักรพงษ์วางแผนการปลูกถึง 3 รอบต่อปี โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร เช่น รถแทรกเตอร์ โดรนทางการเกษตร ใช้ระบบน้ำหยด มาใช้บริหารจัดการแปลงเพาะปลูกอย่างมืออาชีพ สามารถเพิ่มปริมาณผลผลิต ประหยัดต้นทุน ลดการใช้แรงงานลงกว่าครึ่ง
เตรียมแปลงดี พืชโตไว ผลผลิตสูง
ปัจจุบัน คุณจักรพงษ์ ทำอาชีพปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาได้ 3 ปีแล้ว เขาวางแผนการจัดการแปลงเพาะปลูกอย่างเป็นระบบทำให้ง่ายต่อการดูแลจัดการผลผลิตให้มีคุณภาพตามที่ต้องการ ส่วนผลผลิตจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยภาวะอากาศเป็นหลัก
สำหรับพื้นที่เพาะปลูก 55 ไร่ จำนวน 2 แปลง แปลงที่หนึ่ง 31 ไร่ และแปลงที่สอง 24 ไร่ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าว มีสภาพอากาศเหมาะสม และมีน้ำตลอดปี สามารถวางแผนปลูก 3 รอบต่อกันเลยโดยไม่ได้พักดิน ได้แก่ รอบที่ 1 (มี.ค.-ก.ค.) รอบที่ 2 (ก.ค.-พ.ย.) รอบที่ 3 (พ.ย.-มี.ค.) ซึ่งการวางแผนการปลูกดังกล่าว ส่งผลให้ธาตุอาหารในดินน้อยลง แต่คุณพงษ์ก็มีวิธีบำรุงจนทำให้ได้ผลผลิตที่พึงพอใจ มีผลผลิตเฉลี่ย 1.6-1.7 ตันต่อไร่ และเคยได้ผลผลิตสูงสุดถึง 2 ตันต่อไร่
ก่อนลงมือปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะเตรียมดินโดยหว่านขี้ไก่เม็ดก่อน อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ จากนั้นไถผาน 3 ตากดินประมาณ 7-10 วัน แล้วตีผาน 7 ไถต่อ และใช้ผานซอย 16 ใบ ตีดินให้ละเอียด ทิ้งไว้ประมาณ 7 วันให้ดินแห้ง จึงเริ่มหยอดเมล็ดพร้อมขึ้นร่อง โดยปลูก 2 แบบ คือ ปลูกแบบร่องเดี่ยว ห่าง 70 เซนติเมตร และปลูกแบบร่องคู่ 30 เซนติเมตร ใช้เมล็ดพันธุ์ จำนวน 3 กิโลกรัมต่อไร่ และใส่ปุ๋ยรองพื้นด้วยปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-8-8 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ พร้อมวางสายน้ำหยดหลังจากลงปลูก
ใช้ระบบน้ำหยด พืชไม่ขาดน้ำ
ผลผลิตคุณภาพดีสม่ำเสมอ
คุณจักรพงษ์ เข้าใจคุณค่าและความสำคัญของ “น้ำ" ว่าเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่ส่งผลต่อปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพราะก่อนหน้านี้ เขาปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์โดยอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติ ในปีแรก ได้ผลผลิต 1.4 ตันต่อไร่ พอปีที่ 2 เจอสภาพอากาศแล้ง ต้นข้าวโพดเหี่ยว ได้ผลผลิตแค่ 700-800 กิโลกรัมต่อไร่ เขารู้สึกเครียดถึงแม้จะไม่ขาดทุนแต่ก็ได้กำไรน้อย
คุณจักรพงษ์ ตัดสินใจลงทุนทำระบบน้ำหยดในแปลงปลูก 10 ไร่ใช้เงินลงทุนไป 60,000 บาท เป็นค่าหยอดเมล็ด วางสายน้ำหยด ระบบท่อ ค่าปุ๋ย และฮอร์โมน ปรากฎว่า ต้นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เติบโตเสมอกัน และได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว ขายข้าวโพดได้ 150,000 บาทต่อปี ได้ผลกำไรเยอะขึ้นแล้ว ยังประหยัดค่าแรงจ้างคนมาใส่ปุ๋ยเพราะสามารถให้ปุ๋ยทางระบบน้ำได้เลย และในระยะเวลา 1 ปี ใช้เวลาปลูกแปลงข้าวโพดเฉลี่ยต่อรุ่นประมาณ 115-120 วัน สามารถปลูกข้าวโพดได้ 3 รอบ สร้างรายได้ตลอดทั้งปี
ทุกวันนี้ คุณจักรพงษ์นำระบบน้ำหยดมาใช้ในการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทุกแปลง หลังจากรถไถขึ้นร่องหยอดเมล็ดพันธุ์ พร้อมใส่ปุ๋ย ก็จะวางสายน้ำหยดตามเลย หลังจากหยอดเมล็ดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แล้วจะให้น้ำเลย เปิดให้น้ำประมาณ 2 - 2.30 ชั่วโมง การให้น้ำครั้งต่อไปจะคอยสังเกตจากหน้าดินเป็นหลัก หากหน้าดินเริ่มแห้งถึงจะให้น้ำ ส่วนใหญ่จะให้น้ำทุกๆ 5 - 7 วันต่อครั้ง ทั้งนี้การให้น้ำระบบน้ำหยดขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเป็นหลัก
สำหรับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุ่นฤดูฝนจะยกเว้นการให้น้ำหลังการหยอดเมล็ดพันธุ์ เนื่องจากดิน มีความชื้นอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน คุณจักรพงษ์ ใช้เทคโนโลยี แอปพลิเคชันพยากรณ์อากาศ windy มาใช้ประกอบการวางแผนการดูแลจัดการแปลง กำหนดระยะเวลาการให้น้ำ การฉีดพ่นสาร และหว่านปุ๋ยได้ถูกเวลาอีกด้วย
คุณจักรพงษ์สรุปข้อดีของระบบน้ำว่า ช่วยพืชเติบโตได้ดีแม้เผชิญภาวะแล้ง แต่ข้อเสียคือมักเกิดปัญหาท่อน้ำอุดตัน ซึ่งคุณจักรพงษ์มีตัวช่วยสำคัญคือ ใช้เบสมอร์(สารจับใบ) ปล่อยไปพร้อมกับระบบน้ำหยด ช่วยเพิ่มอัตราการหล่อลื่น สามารถระบายน้ำออกได้ทุกรู ไม่มีปัญหาท่อตันอีกต่อไป ขณะเดียวกันสามารถให้ปุ๋ยและฮอร์โมนผ่านระบบน้ำหยดไปพร้อมกัน ช่วยประหยัดต้นทุน ประหยัดเวลา สามารถทำคนเดียวได้ โดยไม่ต้องจ้างแรงงาน จากเดิมที่เคยจ้างคนใส่ปุ๋ย ครั้งละ 5-10 คน ต่อพื้นที่ 10 ไร่ ก็ลดค่าใช้จ่ายได้เยอะ
สูตรสำเร็จช่วยให้ได้ผลผลิตสูง
ด้วยการใส่ใจใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงให้ถูกช่วง จัดการวัชพืชให้ถูกเวลา
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นพืชที่ปลูกดูแลง่าย แต่หากปลูกแบบปล่อยตามธรรมชาติ ดูแลจัดการวัชพืชได้ไม่ดี อาจส่งผลให้ผลผลิตลดลงเกินครึ่ง คุณจักรพงษ์มีเทคนิคการจัดการวัชพืชและบำรุงข้าวโพดอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลผลิตสูง ดังนี้
เริ่มจากการจัดการวัชพืชหลังหยอดข้าวโพดโดยใช้ผลิตภัณฑ์คลีโอ-โปรช่วย “คุม-ฆ่า” วัชพืชในข้าวโพด หลังจากหยอดข้าวโพดได้ 10 วัน ก็ใช้คลีโอ-โปร 1 ชุด ผสมกับ สารกำจัดหนอน
ซึ่งก่อนหน้านี้ คุณจักรพงษ์เคยใช้ผลผลิตภัณฑ์ ตัวอื่นมาก่อน แต่คุมหญ้าไม่ค่อยอยู่ หลังเปลี่ยนมาใช้ คลีโอ-โปร ฉีดพ่นครั้งเดียวคุมวัชพืชได้นานจนถึงระยะเก็บเกี่ยว ไม่มีวัชพืชรบกวน และต้นข้าวโพดเจริญเติบโตได้ดี คุณจักรพงษ์จึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์คลีโอ-โปร ในการกำจัดวัชพืชมาโดยตลอด วิธีการผสมเริ่มจากใช้คลีโอ อัตรา 100 มล.ผสมน้ำจากนั้นผสมทาซีแมกซ์-โปร 900 กรัม(1ซอง) คนให้ละลายแล้วตามด้วยสารกำจัดหนอนและผสมสารเพิ่มประสิทธิภาพ เบสมอร์ 200 มล.เป็นลำดับสุดท้าย คลีโอ-โปร 1 ชุดผสมน้ำได้ 400 ลิตร พ่นได้ 6 ไร่ สามารถใช้โดรนการเกษตรฉีดพ่นยาได้
นอกจากนี้ ช่วงภาวะอากาศหนาว ต้นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มักประสบปัญหาใบม่วงต้นชะงักการเติบโต คุณจักรพงษ์มีตัวช่วยเด็ด คือ “อโทนิค” หลังจากใช้ ผลิตภัณฑ์อโทนิค ปรากฎว่า ต้นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เติบโตดี ใบเขียว สมบูรณ์
เมื่อต้นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อายุ 15 วัน จะเริ่มบำรุงด้วยการฉีดพ่นทางใบ บำรุงด้วย ปุ๋ยเกล็ดสูตร 21-21-21 อัตรา 1 กิโลกรัม ร่วมกับ อโทนิค 50 ซีซี และ เนเทอไรฟ์ 50 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร สามารถฉีดพ่นได้ 5 ไร่ ช่วยบำรุงใบ บำรุงต้น กระตุ้นการเจริญเติบโตหลังจากพ่นสารกำจัดวัชพืช คุณจักรพงษ์จะใช้สูตรนี้ฉีดพ่นทุกๆ 7-10 วัน โดยทำการฉีดพ่นต่อเนื่อง 3-4 รอบ
ในระหว่างนี้หากแปลงเพาะปลูกประสบสภาพอากาศแล้ง ทำให้ต้นข้าวโพดชะงักการเจริญเติบโต จะใส่ ฟอนครอป เซต พลัส อัตรา 50 ซีซี เป็นธาตุอาหารเสริมเพิ่มเข้าไปเพื่อให้ต้นข้าวโพดปรับสมดุลกินปุ๋ยได้ดีขึ้น ใบเขียว สมบูรณ์ขึ้น
เมื่อข้าวโพดอายุ 45 วัน จะให้ปุ๋ยทางระบบน้ำ โดยใช้ ปุ๋ยเกล็ดสูตร 46-0-0 อัตรา 25 กิโลกรัม ต่อ 1 แปลง พื้นที่ 3 ไร่ การปล่อยน้ำก็ขึ้นอยู่กับลักษณะร่องและสภาพอากาศเป็นหลัก อย่างในฤดูฝน แปลงปลูกแบบร่องคู่จะให้น้ำประมาณ 20 นาที หากไม่มีฝนจะปล่อยน้ำประมาณ 1-1.30 ชม. แต่ถ้าเป็นแปลงปลูกร่องเดี่ยวจะปล่อยน้ำ ประมาณ 20-30 นาที
เมื่อข้าวโพดอายุ 80 วัน ข้าวโพดเป็นฝักเข้าสู่ระยะแป้ง จะหยุดการบำรุงเนื่องจากต้นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผ่านการบำรุงและได้รับการสะสมอาหารเพียงพอที่จะใช้เลี้ยงฝักได้แล้ว และ ทำการเก็บเกี่ยว เมื่อต้นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อายุ 115-120 วัน จะได้ผลผลิตประมาณ 1.6- 1.7 ตันต่อไร่ ซึ่งการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3 รอบต่อปี จะได้ผลผลิตและรายได้มากกว่า การปลูกข้าวโพด 2 รอบต่อปี
เคล็ดลับความสำเร็จของเกษตรกรหัวก้าวหน้า
กว่าจะประสบความสำเร็จในอาชีพทำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างทุกวันนี้ คุณจักรพงษ์ ไม่หยุดในการทดลองเรียนรู้จนได้เคล็ดลับที่ทำให้ได้ผลผลิตดี ประการแรก อยู่ที่เทคนิคการบำรุงดิน ใส่ปุ๋ยให้ถูกช่วง ถูกระยะเพื่อให้ได้ข้าวโพดปริมาณผลผลิตเยอะที่สุด ดูแลให้น้ำที่เหมาะสมกับสภาพอากาศของการปลูกพืชในแต่ละรอบ พร้อมดูแลใส่ใจเรื่องการกำจัดหนอนและวัชพืช ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่มาแย่งธาตุอาหารของข้าวโพด
ปกติราคาข้าวโพดจะอยู่ที่ความชื้น ราคาขึ้นลงห่างกันประมาณ 10 สตางค์ คุณจักรพงษ์ กำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยว ที่อัตราความชื้น 29-30 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ได้ปริมาณน้ำหนักและผลผลิตคุณภาพดี ขายได้ราคา หากเกี่ยวที่ความชื้นน้อยกว่านี้ถึงแม้จะได้ราคาดีแต่น้ำหนักก็จะหายไปด้วย
ก่อนหน้านี้ การทำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มักใช้แรงงานจำนวนมาก ในการฉีดพ่นยากำจัดแมลงและวัชพืช ฉีดยาครั้งหนึ่งต้องใช้แรงงานจำนวน 10 คนเดินไล่ฉีดยาตามร่อง หลังจากหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ คลีโอ-โปร สามารถประหยัดแรงงานได้มากขึ้น เพราะใช้แรงงานฉีดแค่ 2 คน สามารถฉีดได้ครั้งละหลายร่อง ทับข้าวโพดได้เลย
ตัวอย่างความสำเร็จในอาชีพการทำไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของคุณจักรพงษ์ น่าจะเป็นต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจให้เกษตรกรหลายท่านนำไปเทคนิคการบริหารจัดการไปประยุกต์ใช้ได้ สำหรับพื้นที่เพาะปลูกที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ สามารถลงทุนทำระบบน้ำหยด เลือกใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตรที่ทันสมัยมาช่วยในการดูแลจัดการแปลงเช่น โดรนการเกษตร รถแทรกเตอร์ ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าว ช่วยประหยัดเวลา ลดต้นทุนการผลิต ประหยัดค่าแรงงาน ปัจจัยสุดท้ายที่สำคัญมากๆ คือ การเลือกใช้นวัตกรรมปุ๋ยตรากระต่าย เพิ่มธาตุอาหารเติมความสมบูรณ์ให้กับดินและพืช รวมทั้ง ผลิตภัณฑ์คลีโอ-โปรและผลิตภัณฑ์อโทนิค ที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดวัชพืชและหนอน ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างดี ทำให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้น สร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงมากขึ้นอย่างแน่นอน
ติดตามข่าวสารอื่นๆ ข้อมูลสินค้า และข่าวสารจากอารักขาพืชเจียไต๋ เพิ่มเติมได้ที่
Facebook : www.facebook.com/ChiataiPlantprotection
YouTube : www.youtube.com/@Chiataiplantprotection
ข้อมูลสินค้าอารักขาพืช : www.chiataigroup.com/business/plant-protection/FoliarFertilizerAndHormone