เทคนิคการปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้นอกฤดู คุณภาพเกรดส่งออก เพิ่มมูลค่าการตลาด ขายได้ราคาชัวร์!

        “มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง” เป็นผลไม้ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้งในด้านรสชาติและรูปลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นรสหวานหอม เนื้อแน่น ละเอียด และมีเปลือกสีเหลืองทองสวย จึงทำให้ได้รับความนิยมในกลุ่มประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จนขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย

 

       โดยจากสถิติการค้าระหว่างประเทศปี 2567 ไทยส่งออกมะม่วงสดไปตลาดโลกเฉลี่ยกว่าปีละ 1 แสนตัน มูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านบาท และปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกมะม่วงอันดับ 5 ของโลก (ข้อมูล : กระทรวงพาณิชย์, 2567) เรียกได้ว่าหากเกษตรกรสามารถพัฒนาคุณภาพผลผลิตได้ตรงตามความต้องการของตลาด ก็ยังเพิ่มโอกาสการส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง

 

       วันนี้เราจะพาไปพบกับเกษตรกร “ผู้บุกเบิก” การปลูกมะม่วงเพื่อการส่งออกของจังหวัดอ่างทอง กับคุณสุนทร สมาธิมงคล วัย 65 ปี พื้นที่ ตำบลมงคลธรรมนิมิต อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง ซึ่งในอดีตนั้นเป็นเกษตรกรทำนา แต่ประสบปัญหาด้านราคา เลยผันตัวมาปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองตั้งแต่ปี 2538 จนในปี 2549 สามารถจัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนปรับปรุงมะม่วงเพื่อการส่งออก จังหวัดอ่างทอง ที่มีเครือข่ายในจังหวัดใกล้เคียงครอบคลุมพื้นที่กว่า 5,800 ไร่ ด้วยประสบการณ์ด้านการปลูกและการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้สมาชิกในกลุ่มอย่างต่อเนื่อง จึงได้รับการคัดเลือกเป็นเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพทำสวน ประจำปี 2552

 

       คุณสุนทร เผยว่า โดยปกติแล้ว การปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองแบบตามฤดูกาลจะให้ผลผลิตช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน เมื่อผลผลิตออกสู่ท้องตลาดพร้อมกันจำนวนมากก็ย่อมทำให้ราคาตก เหลือประมาณ 10-15 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น จึงได้เปลี่ยนมาทำ “มะม่วงนอกฤดู” พร้อมวางแผนให้ผลผลิตออกในช่วงที่ตลาดต่างประเทศต้องการ ซึ่งทำให้ช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตให้กลายเป็น 120-180 บาทต่อกิโลกรัม โดยที่สวนจะสามารถทำผลผลิตได้ประมาณ 1.2-1.5 ตันต่อไร่ เป็นเกรดส่งออกมากถึง 70% ขณะที่สวนทั่วไปอาจทำได้แค่ 30-40% เท่านั้น

 

       กว่าจะสามารถปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองให้ได้คุณภาพจนส่งออกได้สำเร็จ คุณสุนทร ผ่านการเรียนรู้ ลองผิดลองถูกมาไม่น้อย วันนี้จะมาเผยเทคนิคการปลูกมะม่วงนอกฤดูจากประสบการณ์กว่า 32 ปี ให้ฟังกันแบบหมดเปลือก!

คุณสุนทร สมาธิมงคล เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพทำสวน ประจำปี 2552

 

ปลูกด้วย “ระยะประชิด” ได้จำนวนต้นมากขึ้นเท่าตัว

ช่วยให้การจัดการในแปลงง่าย

 

       สำหรับการวางระบบแปลงมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองนอกฤดู บนพื้นที่ 20 ไร่ของคุณสุนทร จะใช้หลักการพิจารณาตามความเหมาะสมของพื้นที่เป็นหลัก ซึ่งในพื้นที่บริเวณนั้นจะมีน้ำค่อนข้างน้อย จึงวางแผนบริหารจัดการน้ำด้วยการทำสวน “แบบยกร่อง” เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บน้ำสำหรับใช้ภายในแปลง โดยใช้ความกว้างร่องน้ำ 3 เมตร และร่องแปลงปลูกกว้าง 8 เมตร

ระบบสวนแบบยกร่อง ช่วยให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่ตลอด และสามารถใช้เรือรดน้ำไปตามท้องร่องได้

 

       ส่วน “การวางระยะปลูก” ถือเป็นการวางแผนระยะยาว ที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตเป็นอย่างมาก โดยการกำหนดระยะห่างระหว่างต้น มักใช้ความสูงของต้นและความกว้างของทรงพุ่มเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณา เพื่อไม่ให้แปลงหนาแน่น และแย่งอาหารกันในอนาคต

 

       ในกรณีของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง หากปลูกด้วยระยะทั่วไป จะวางระยะห่างระหว่างต้น 8x8 เมตร และได้จำนวนต้น 40 ต้นต่อไร่ แต่คุณสุนทร ใช้วิธีปลูกแบบระยะประชิด หรือระยะชิด ซึ่งเป็นการปลูกด้วยระยะต้นที่ถี่ขึ้น โดยวางระยะห่างระหว่างต้น 4x4 เมตร ทำให้ได้จำนวนต้นถึง 80 ต้นต่อไร่

การปลูกด้วยระยะประชิด ได้จำนวนต้นมากกว่าระยะทั่วไปหนึ่งเท่าตัว

 

       คุณสุนทร เผยว่า ปลูกแบบระยะประชิดถือเป็นทางเลือกสำหรับเกษตรกรที่มีพื้นที่จำกัด แต่ก็มีข้อปฏิบัติสำคัญคือ ต้องตัดแต่งกิ่งควบคุมความสูงให้ไม่เกิน 3 เมตร และไม่ให้ทรงพุ่มชนกัน ซึ่งการที่ต้นมะม่วงไม่สูงมากก็มีข้อดีตามมาคือ ทำให้การจัดการภายในแปลง อย่างเช่น การฉีดพ่นสารต่างๆ การห่อผล และการเก็บผลผลิตทำได้ง่าย โดยเฉพาะในแง่ของการเก็บผล เกษตรกรสามารถตัดด้วยกรรไกรได้โดยไม่ต้องใช้ตะกร้อสอย ลดความเสี่ยงที่จะทำให้ผิวมะม่วงเป็นรอย เพิ่มโอกาสให้ผลผลิตเป็นเกรดส่งออกได้มากขึ้น

ต้นมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองที่สวนของคุณสุนทร จะตัดแต่งกิ่งให้ความสูงไม่เกิน 3 เมตร และไม่ให้ทรงพุ่มชนกัน

 

วางแผนการปลูกตั้งแต่ “ระยะฟื้นต้น-ทำใบ”

พื้นฐานสำคัญการทำ “มะม่วงนอกฤดู”

 

       หลักการของ “การปลูกมะม่วงนอกฤดู” คือ การวางแผนให้ผลผลิตออกในช่วงที่มีความต้องการทางตลาดสูง ซึ่งกรณีของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองนั้น คุณสุนทรเผยว่า ช่วงที่สามารถขายได้ราคาดีที่สุดคือ “เดือนสิงหาคม” เพราะใกล้กับเทศกาลไหว้พระจันทร์ของประเทศจีน

 

       เพื่อให้ผลผลิตออกในเวลาที่กำหนด คุณสุนทร จะวางแผนการผลิตโดยเริ่มเข้าสู่ “กระบวนการฟื้นต้น” ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน เพื่อให้มะม่วง “ติดดอก” ในเดือนพฤษภาคม และเริ่ม “ติดผล” ช่วงเดือนมิถุนายน จนสุดท้ายสามารถ “เก็บผลผลิต” ได้ในเดือนสิงหาคม-กันยายน

ปฏิทินการปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้นอกฤดูตามแบบฉบับคุณสุนทร

  

       โดยการฟื้นต้นหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว คุณสุนทร จะเริ่มบำรุงด้วยปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 25-7-7 บลู อัตรา 0.5 กิโลกรัมต่อต้น เพื่อเติมธาตุอาหาร ช่วยให้ต้นกลับมาสมบูรณ์ได้ไว สามารถแตกใบอ่อนชุดใหม่ได้เร็ว

 

       หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ จะใช้เรือดูดดินเลนจากท้องร่องขึ้นฉีดพ่นให้ทั่วทั้งต้น จนถึงโคนต้นมะม่วง โดยในดินเลนนั้นมีอินทรีย์วัตถุจากเศษใบไม้ที่ทับถมกัน เปรียบเสมือน “ปุ๋ยคอก” ชั้นดี ช่วยปรับโครงสร้างของดินให้ดีขึ้น ส่งเสริมให้ระบบรากของพืชเจริญเติบโตได้ดี

 

        จากนั้นจะตัดแต่งกิ่งแล้วเข้าสู่ “ระยะทำใบ” คุณสุนทร จะทำใบเพียง 1 ชุด พอต้นเริ่มแตกใบใหม่ ก็จะรอเวลาจนใบเข้าสู่ระยะเพสลาด (หลังแตกใบใหม่ได้ประมาณ 15-20 วัน) จะทำการราดสารแพคโคลบิวทราโซล เพื่อยับยั้งการแตกใบใหม่ เร่งให้การออกดอกไวขึ้น

“ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 25-7-7 บลู” ช่วยฟื้นต้นให้กลับมาสมบูรณ์ได้ไว
พร้อมสำหรับการทำใบชุดใหม่

 

“ระยะสะสมอาหาร” ตัวชี้วัดการออกดอก  
หากต้น
และใบสมบูรณ์ ช่อดอกก็สมบูรณ์

 

        “ระยะสะสมอาหาร” เป็นช่วงสำคัญที่ต้นมะม่วงเก็บรวบรวมพลังงานและสารอาหารเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการออกดอก โดยต้นมะม่วงที่สมบูรณ์จะสังเกตได้จาก “ใบ” ที่มีลักษณะสีเขียวเข้ม ใบหนา เป็นมันเงา และเมื่อมะม่วงแทงช่อดอก สีของช่อดอกที่สมบูรณ์จะมีสีแดงเข้ม ไม่ซีด

 

       โดยคุณสุนทร เน้นย้ำว่า “ต้นมะม่วงจะออกดอกมากหรือน้อยนั้นอยู่ที่การสะสมอาหารอย่างเพียงพอ” จึงแบ่งการบำรุงธาตุอาหารทางดินออกเป็น 2 รอบ ดังนี้

 

       รอบที่ 1 จะบำรุงด้วยปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 9-25-25 อัตรา 0.5 กิโลกรัมต่อต้น ช่วยบำรุงรากพืชให้แข็งแรง หาอาหารได้ดี ช่วยให้ต้นสมบูรณ์

 

       รอบที่ 2 (หลังใส่ปุ๋ยรอบแรกประมาณ 20 วัน) จะบำรุงด้วย ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 9-25-25 อัตรา 0.5 กิโลกรัมต่อต้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นการออกดอก และเมื่อดอกติดแล้วจะช่วยให้ช่อดอกแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย  

ระยะสะสมอาหาร บำรุงด้วย “ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 9-25-25”
ช่วยให้ต้นสะสมอาหารได้สมบูรณ์ ใบหนา เขียวเข้ม เป็นมันเงา สังเคราะห์แสงได้ดี

 

       “ก่อนหน้านี้ผมใช้ปุ๋ยยี่ห้ออื่น แต่พอได้ลองใช้ “ปุ๋ยตรากระต่าย” ตามที่เจ้าหน้าที่ส่งเสริม ของบริษัท เจียไต๋ เข้ามาแนะนำ เห็นผลชัดเจนเลยว่าต้นมะม่วงสมบูรณ์ ใบเขียวดำ เป็นมันเงา ยิ่งเราทำมะม่วงนอกฤดู ต้นจะโทรมค่อนข้างไว เมื่อก่อนเคยใช้ปุ๋ยสูตร 8-24-24 พอเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 9-25-25 เหมือนกับว่าเราได้ธาตุอาหารมากขึ้น การสะสมอาหารก็ดีขึ้น ถือว่าคุ้มค่ามากครับ” คุณสุนทร เล่าถึงความประทับใจในปุ๋ยตรากระต่าย

 

       หลังจากใส่ปุ๋ยรอบที่ 2 ประมาณ 20 วัน จะเริ่ม “ดึงดอก” ด้วยการฉีดพ่น “สารไทโอยูเรีย” เพื่อกระตุ้นการออกดอก จากนั้นมะม่วงจะเริ่ม “ออกดอก” ในเดือนพฤษภาคม    

 

       สำหรับ “การบำรุงช่วงติดดอก” คุณสุนทร จะรอให้กลีบดอกบานและเริ่มโรยไปประมาณ 75% จนเริ่มสังเกตเห็นผลเล็กๆ ขนาดประมาณเมล็ดถั่วเขียว จากนั้นบำรุงด้วยปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 25-7-7 บลู อัตรา 0.5 กิโลกรัมต่อต้น เพื่อให้การติดผลดีขึ้น ไม่หลุดร่วงง่าย บำรุงช่อดอกให้สมบูรณ์ เตรียมพร้อมสำหรับการติดผล

 

       ทั้งนี้ คุณสุนทร มีเคล็ดลับสำคัญคือ หลังหว่านปุ๋ยให้ทั่วบริเวณทรงพุ่ม จะรดน้ำแค่พอให้ดินชื้นเท่านั้น เพราะหากต้นมะม่วงได้รับน้ำมากไป อาจเกิดการแตกใบอ่อนขึ้นมาแทน จนทำให้ต้นสลัดดอกทิ้งได้

“ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 25-7-7 บลู” ช่วยให้มะม่วงติดดอกดี เตรียมพร้อมสำหรับการติดผล

หว่าน “ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 25-7-7 บลู” รอบรัศมีทรงพุ่ม จากนั้นรดน้ำตามแค่พอดินชื้น
จะช่วยให้มะม่วงติดดอกดี เตรียมพร้อมสำหรับการติดผล

 

“คัด-ห่อ-บำรุงผล”

3 ขั้นตอนสำคัญ ช่วงมะม่วงติดผล

 

       การผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเพื่อการส่งออกต้องมีทั้ง “การจัดการที่ดี” ควบคู่กับ “การบำรุงที่ดี” ถึงจะช่วยให้ผลมะม่วงมีคุณภาพ รสชาติหวาน หอม เนื้อแน่น และสีผิวสวยงาม

 

       โดยคุณสุนทร มีขั้นตอนการบำรุงและการจัดการแบ่งตามช่วงอายุผล ดังนี้

3 ขั้นตอนการบำรุงมะม่วงระยะติดผล
สูตรเด็ดที่ทำให้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองของคุณสุนทร ได้คุณภาพเกรดส่งออก

 

- ช่วงมะม่วงติดผลได้ 15-20 วัน

       ผลมะม่วงมีขนาดประมาณนิ้วโป้งมือ จะเริ่มการบำรุงด้วยปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 25-7-7 บลู อัตรา 0.5 กิโลกรัมต่อต้น เพื่อช่วยกระตุ้นให้ผลอ่อนมะม่วงขยายใหญ่ไวขึ้น ผลจะยาวเร็ว
       จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการ “คัดผล” โดยจะคัดทั้งหมด 2 รอบ คัดผลรอบที่1 ให้คัดผลที่รูปทรงไม่บิดเบี้ยว ไม่มีแมลงทำลายผิว เหลือ 2-3 ผลต่อช่อ

 

- ช่วงผลมะม่วงอายุ 40-45 วัน

       ผลมะม่วงมีขนาดประมาณไข่ไก่ จะคัดผลรอบที่ 2 เหลือไว้เฉพาะผลที่ทรงยาวสวย ช่อละ 1 ผลเท่านั้น เพื่อให้ได้ขนาดผลตามเกณฑ์มะม่วงส่งออก จากนั้น “ห่อผล” ด้วย “ถุงคาร์บอน” ตัวถุงด้านนอกจะกันน้ำได้ ด้านในเป็นกระดาษคาร์บอนสีดำ ช่วยพรางแสงไม่ให้ทะลุผ่าน ทำให้ผิวของมะม่วงเหลืองทองสวย และไม่ถูกแมลงรบกวน

       หลังห่อผลเรียบร้อยแล้ว จะบำรุงด้วยปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-16-16 บลู อัตรา 0.5 กิโลกรัมต่อต้น เพื่อช่วยสร้างเนื้อ ขยายเปลือก ให้ผลขยายไว มีความสมบูรณ์

 

- ช่วงผลมะม่วงอายุประมาณ 70 วัน

 

       ผลมะม่วงจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง เกษตรกรเรียกว่า “ระยะเข้าสี” จะบำรุงด้วยปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 13-13-24 อัตรา 0.5 กิโลกรัมต่อต้น ช่วยขยายขนาดผล ให้ได้น้ำหนักตามไซซ์ที่ต้องการ ทำให้ผลผลิตมีรสชาติดีและสีผิวน่ารับประทาน

การคัดผลและห่อผล ปัจจัยสำคัญช่วยให้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองมีผิวและทรงสวย

 

       คุณสุนทร เผยว่า "การเก็บเกี่ยวมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเพื่อการส่งออก จะเก็บเมื่อผลมีอายุประมาณ 90-95 วัน หรือระยะความสุกของผลอยู่ที่ 85% หลังเก็บเกี่ยวแล้ว ผลผลิตจะถูกนำไปคัดไซซ์ จากนั้นบริษัทผู้รับซื้อมารับที่สวน และนำไปอบไอน้ำก่อนส่งออก พอบริษัทผู้รับซื้อเห็นผลผลิตจากสวนผม เขาถามกันเลยว่าเป็นมะม่วงจากสวนไหน แล้วเขาตามเข้ามาซื้อเองเลย ซึ่งถ้าผลผลิตของเรามีคุณภาพ ตลาดสำหรับการส่งออกยังไปได้อีกครับ"

 

“ความใส่ใจ” เคล็ดลับความสำเร็จ

มะม่วงเกรดส่งออก ได้มาตรฐาน GAP

 

       มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเกรดส่งออกต้องมีคุณลักษณะสำคัญคือ หนึ่ง ต้องมีผิวสวย ไม่มีตำหนิ สอง ต้องมีน้ำหนักถึง

ผลมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองอายุประมาณ 90-95 วัน ผลสีเหลืองทอง
ได้ขนาดและน้ำหนักเป็นเกรดส่งออก

 

       เกณฑ์ และสาม ต้องผ่านมาตรฐาน GAP หรือการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีจากกรมวิชาการเกษตร มีการบันทึกการใช้สารเคมีในการป้องกันโรคและศัตรูพืชตามตารางการใช้อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

 

       โดย “เกณฑ์น้ำหนักของผลมะม่วง คุณภาพส่งออก” จะขึ้นอยู่กับบริษัทประเทศคู่ค้ากำหนด ดังนี้

 

       - ประเทศจีน กำหนดน้ำหนัก 280-320 กรัมต่อผล

       - ประเทศญี่ปุ่น กำหนดน้ำหนัก 320-350 กรัมต่อผล

       - ประเทศเกาหลีใต้ กำหนดน้ำหนักมากกว่า 350 กรัมต่อผล

น้ำหนักของมะม่วงส่งออกจะขึ้นอยู่กับความนิยมแต่ละประเทศ

 

       “ราคาขายมะม่วงเกรดส่งออก” หากเป็นช่วงนอกฤดูจะอยู่ที่ 120-180 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนมะม่วงตกเกรดราคาอยู่ที่ 40-50 บาทต่อกิโลกรัม จะมีบริษัทมารับซื้อไปแปรรูปเป็นมะม่วงแช่แข็งเพื่อส่งออก แต่หากเป็นมะม่วงในฤดูราคาอาจลดลงไปเหลือ 10-15 บาทต่อกิโลกรัม เท่านั้น

 

       สำหรับที่แปลงของคุณสุนทรมีพื้นที่การเพาะปลูก 20 ไร่ จะได้ผลผลิตทั้งหมด 1.2-1.5 ตันต่อไร่ และเป็นเกรดส่งออกมากถึง 70% โดยในแต่ละฤดูการผลิต จะส่งออกมะม่วงได้ประมาณ 16-20 ตัน

ผลผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองนอกฤดู เกรดส่งออก ได้มาตรฐาน GAP จากแปลงของคุณสุนทร

 

       โดยคุณสุนทร เผยว่า “หัวใจของการผลิตมะม่วงเพื่อการส่งออกต้องใช้ความละเอียดและความใส่ใจอย่างมากในการดูแล จะต้องลงแปลงทุกวัน เพื่อคอยตรวจสอบว่ามีโรคหรือแมลงเข้ามารบกวนหรือไม่ ยิ่งเป็นช่วงมะม่วงติดดอก จะลงแปลงถึงวันละ
3 รอบเลยทีเดียว นอกจากนี้ต้องหมั่นนำเทคนิคใหม่ๆ เข้ามาใช้ อย่างปุ๋ยนั้นเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการบำรุงไม้ผลทุกชนิด เกษตรกรควรรู้ว่าปุ๋ยสูตรไหน ควรใช้กับระยะไหนจึงจะได้ผลลัพธ์สูงสุด เมื่อผลผลิตเรามีคุณภาพ เป็นเกรดส่งออกมาก ก็ยิ่งทำให้รายได้เพิ่มขึ้นด้วยครับ แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือเมื่อมะม่วงของเราส่งออกไปหลายประเทศ ก็เหมือนกับเป็นอาหารไปเลี้ยงคนทั่วโลก สิ่งนี้เป็นความภูมิใจและความสุขลึกๆ ของคนเป็นเกษตรกรครับ”

 

       ด้วยความใส่ใจและการปรับตัวเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ ทำให้คุณสุนทร พัฒนาการปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มมูลค่าการตลาดด้วยการทำนอกฤดู การยกระดับผลผลิตสู่การส่งออก ซึ่งทั้งหมดนั้นมีรากฐานสำคัญมาจาก “ผลผลิตที่มีคุณภาพ” ดังนั้น หากเกษตรกรมีการจัดการแปลงที่ดีควบคู่กับบำรุงอย่างครบถ้วนทุกระยะแบบคุณสุนทร ย่อมเพิ่มโอกาสให้ได้มะม่วงเกรดส่งออกแบบชัวร์...เด๊ะๆ สมหวัง เป๊ะๆ แน่นอน

“ปุ๋ยตรากระต่าย” ตัวช่วยสำคัญในการบำรุงมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองนอกฤดูของคุณสุนทร
ให้ได้คุณภาพ เป็นเกรดส่งออก

 

ติดตามข่าวสารอื่นๆ ข้อมูลสินค้า และข่าวสารจากปุ๋ยตรากระต่าย เพิ่มเติมได้ที่    

Facebook: www.facebook.com/puitrakratai/     

YouTube: www.youtube.com/c/Puitrakratai     

TikTok: https://www.tiktok.com/@puitrakratai     

ข้อมูลสินค้าปุ๋ยตรากระต่าย :https://www.chiataigroup.com/business/fertilizer/Puitrakratai-Rice-Fields